ใบปัดน้ำฝน สิ่งสำคัญที่ถูกมองข้าม
top of page
  • Writer's pictureAdmin

ใบปัดน้ำฝน สิ่งสำคัญที่ถูกมองข้าม



หน้าฝนแล้ว เรามาดูแลใบปัดน้ำฝนกันหน่อยดีกว่าค่ะ

“ใบปัดน้ำฝน” จัดเป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นสำหรับรถยนต์ทุกคัน เพราะทำหน้าที่ปัดน้ำ, ปัดเศษใบไม้, แมลง, เศษดินโคลน หรือแม้กระทั่งฝุ่นละอองต่างๆ ที่เกาะอยู่บนกระจกบังลมหน้าและหลัง (หรือในรถบางรุ่นมีติดตั้งที่ไฟหน้ารถด้วย) ให้หลุดออกพร้อมทำความสะอาด เพื่อทัศนวิสัยการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น ดังนั้น เราจึงควรหมั่นดูแลให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา โดยทั่วไปแล้วอายุการใช้งานตามปกติของใบปัดน้ำฝนอย่างมีประสิทธิภาพจะอยู่ที่ประมาณ 12 เดือน แต่ส่วนใหญ่ผู้ใช้รถยนต์ทั่วไปจะละเลยการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนแม้ใบปัดน้ำฝนจะเสื่อมสภาพแล้วก็ตาม ซึ่งการใช้ใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพนั้นอาจจะส่งผลเสียไปถึงชิ้นส่วนอื่นๆได้ อีกเช่น กระจกหน้ารถอาจจะเป็นรอยได้ นอกจากนั้นหากใช้ใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพในช่วงที่ฝนตกหนักจะยิ่งทำให้ทัศนวิศัยในการขับขี่แย่ลง ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ วิธีดูแลใบปัดน้ำฝน

-ทำความสะอาดยางปัดน้ำฝนอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อที่ปัดน้ำฝนถูกใช้งานมานานไม่ว่าจะเพื่อปัดน้ำฝนตามชื่อเรียกหรือล้างคราบสกปรกบนกระจก ตัวยางของที่ปัดน้ำฝนก็มักจะมีสิ่งสกปรกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคราบฝุ่น โคลน หรือแม้แต่ขี้นกติดอยู่ ซึ่งสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้สามารถทำให้ที่ปัดน้ำฝนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพอย่างที่เคย รวมทั้งเป็นสาเหตุบั่นทอนอายุการใช้งานได้ ดังนั้นจึงควรทำความสะอาดยางบนที่ปัดน้ำฝน ซึ่งวิธีง่ายๆ คือ ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดตามแนวขอบยางที่ปัดน้ำฝนให้สะอาด


-เลี่ยงการจอดรถตากแดด

บางคนอาจคิดว่าหลังจากใช้งานปัดน้ำฝนมาแล้ว การจอดรถตากแดดหรือ การยกที่ปัดน้ำฝนขึ้นเพื่อตากแดดจะเป็นการช่วยดูแลที่ปัดน้ำฝนที่อาจมีความชื้นหลงเหลืออยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่ทำให้ที่ปัดน้ำฝนได้รับความร้อนจากแสงแดด ซึ่งสามารถส่งผลให้ยางที่ปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพได้ง่าย และหมดอายุการใช้งานเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงควรเลี่ยงการจอดรถตากแดด หรือหากจอดรถตากแดดก็อย่ายกที่ปัดน้ำฝนขึ้น เพราะอากาศที่ร้อนอาจทำให้สปริงและก้านที่ปัดน้ำฝนเสียหายได้


-หมั่นใช้ที่ปัดน้ำฝนแม้ฝนไม่ตก

สิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยดูแลที่ปัดน้ำฝนให้มีอายุการใช้งานยาวนานได้คือ หมั่นเปิดที่ปัดน้ำฝนพร้อมกดน้ำฉีดกระจกก่อนขับรถออกจากบ้าน เพราะไม่เพียงทำให้มองเห็นทางได้ชัดเจนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ยางที่ปัดน้ำฝนไม่แห้งแตกด้วย


-ตรวจสอบหน้ายาง

การตรวจสอบหน้ายางของที่ปัดน้ำฝนไม่เพียงแต่ดูว่ามีสิ่งสกปรกเกาะติดอยู่หรือไม่เพื่อจะทำความสะอาดเท่านั้น แต่ยังควรจับดูหรือสังเกตดูว่ายางแข็งหรือเป็นขุยหรือไม่ ซึ่งหากมีลักษณะแข็งหรือเป็นขุยก็ควรเปลี่ยนใหม่


-ตรวจสอบกระจก

นอกจากการดูสิ่งสกปรกบนที่ปัดน้ำฝนแล้ว กระจกรทั้งกระจกหน้าและกระจกหลังหากมีที่ปัดน้ำฝน เป็นอีกสิ่งที่ควรหมั่นดูอยู่เสมอว่าเศษดิน เศษหิน รอยแตก รอยร้าว ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายกับที่ปัดน้ำฝนเมื่อใช้งานหรือไม่


เมื่อใดที่ควรเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน

นอกจากการตรวจสอบยางที่ปัดน้ำฝนแล้วพบว่าแข็ง เป็นขุย หรือฉีกขาด ซึ่งควรเปลี่ยนใหม่แล้ว ยังมีอาการต่างๆ ในขณะใช้งานที่บ่งบอกว่าควรเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนใหม่ได้แล้ว


-ที่ปัดน้ำฝนทำงานสะดุด มีการทำงานไม่ราบเรียบขณะใช้งาน ซึ่งอาจมาจากยางปัดน้ำฝนที่แข็ง หรือมีสิ่งสกปรกบนยาง โดยหากมาจากสาเหตุแรกก็ควรเปลี่ยนใหม่


-มีเสียงเสียดสีในขณะทำงาน สาเหตุของอาการนี้มาจากยางที่ปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ แห้งแข็ง ขาดความยืดหยุ่น


-เมื่อปัดน้ำฝนแล้วเกิดริ้วตามแนวปัด ไม่เรียบ ซึ่งมีสาเหตุมาจากยางที่ปัดน้ำฝนมีรอยแตกเนื่องจากแห้งจนฉีกขาด หรือเนื่องจากมีเศษหินใบไม้กีดขวางใบปัดจนทำให้ยางเป็นรอยหรือฉีกขาด


-ไม่สามารถปาดคราบน้ำได้หมดจด เกิดรอยแยกชัดเจนในขณะปัดน้ำฝน นี่คืออาการจากการที่ยางที่ปัดน้ำฝนหมดอายุ แห้งแตก


616 views0 comments
bottom of page