อย่าเคลือบแก้ว!! ถ้าคุณยังไม่รู้สิ่งเหล่านี้
top of page
  • Writer's pictureAdmin

อย่าเคลือบแก้ว!! ถ้าคุณยังไม่รู้สิ่งเหล่านี้

Updated: Apr 7, 2021



หลายท่านคงได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเคลือบแก้วกันมาบ้าง

ทั้งข้อดีข้อเสียต่างๆกันไป วันนี้ทิพย์ ออโต้จะมาไขข้อสงสัยต่างๆ

เกี่ยวกับการเคลือบแก้วให้กระจ่าง

เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับท่านที่กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเคลือบแก้วดีหรือไม่


1. เคลือบแก้วคืออะไร

เคลือบแก้วเป็น นวัตกรรมการดูแลรถ

โดยเทคนิคการเคลือบแก้วจะเน้นประสิทธิภาพการดูแลปกป้อง สีรถ

และพื้นผิวของรถยนต์ในระยะยาว ปกป้องได้มากกว่ามากกว่าการล้างรถ

และการดูแลรักษาสีรถทั่วไป

โดยสารเคลือบแก้วนั้นจะทำให้สภาพสีรถให้มีความสวยงาม แวววาว

ทำให้รถดูใหม่อยู่เสมอ อีกทั้งยังป้องกันริ้วรอย เศษฝุ่นเศษหิน

หรือคราบต่างๆที่ส่งผลต่อผิวรถได้อีกด้วย


2. สิ่งที่ผสมอยู่ในสารเคลือบแก้ว

ในสารเคลือบแก้วจะมีสารสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ คือ

ซิลิกอนไดออกไซด์ หรือสารซิลิกา (Silica /SiO2)

เป็นองค์ประกอบหลัก สารตัวนี้มีคุณสมบัติเด่น คือ ให้ค่าความแข็งแกร่ง

และความเงาใส จึงเป็นที่มาของความแวววาวนั่นเอง


3. เคลือบแก้วคุณภาพวัดความแข็งหรือความหนา ?

คุณภาพของการเคลือบแก้ว มีการวัดค่าหลายแบบ หลักๆแล้วคือ

ระยะเวลาความคงทนยาวนานของเคลือบแก้วบนผิวสีรถ

ซึ่งความคงทนนั้นมาจากค่าความแข็งของสารเคลือบแก้ว

หรือที่เราเคยได้ยินว่าเคลือบแก้ว ระดับ 8H , 9H

นั่นคือค่าความแข็งที่สามารถวัดได้

ซึ่งมีผลอย่างมากต่อเรื่องความทนทาน

เพราะมาจากค่าความแข็งแกร่งของซิลิกาที่อยู่ในสารเคลือบแก้ว


4. การเคลือบแว็กซ์ (Wax) และการเคลือบแก้ว (Glass Coating)

ต่างกันอย่างไร


เคลือบแว็กซ์ (Wax) เป็นการเคลือบสีรถระยะสั้น มี 2 ประเภท คือ

แว็กซ์แบบครีม และแว็กซ์แบบน้ำโดยแว็กซ์แบบครีมจะช่วยเพิ่มความเงางาม

ให้สีรถยนต์เป็นหลัก แต่มีจะมีอายุการใช้งานสั้น ทนความร้อนได้ต่ำ

โดยสามารถใช้งานได้เพียง 3-4 วัน เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อน ส่วนแว็กซ์แบบน้ำ

จะอยู่ได้นานกว่าและทนความร้อนได้มากกว่าการใช้แว็กซ์แบบครีมแต่ให้

ความเงางามน้อยกว่า โดยจะมีอายุการใช้งานประมาณ 3-4

สัปดาห์เท่านั้น


เคลือบแก้ว (Glass Coating)

การเคลือบแก้วให้ประโยชน์ทางด้านความเงางามของตัวรถและการ

ปกป้อง เนื่องจากส่วนผสมหลักคือสารซิลิกา ที่มีคุณสมบัติคุณสมบัติ

ในการให้ความเงางามและความแข็งเหมือนแผ่นกระจก (Quartz)

จึงสามารถลดปัญหาคราบเปื้อนต่างๆ ทั้งยางมะตอย

มูลนก คราบหยดน้ำ ฝุ่นที่เกาะตัวรถและทำลายผิวรถ

ช่วยให้สีผิวรถไม่ซีดจางจากรังสี UV ลดการเกิดรอยขนแมว โดยสามารถทนความร้อนได้สูง

ซึ่งสูงกว่าการเคลือบประเภทอื่นทั้งหมดและยังไม่สะสมความร้อนบนผิวสีรถยนต์

มีระยะการใช้งานที่ยาวนานประมาณ 1-5 ปี (ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของน้ำยาแต่ละแบรนด์)


จากความแตกต่างข้างต้นเห็นได้ชัดว่า การเคลือบแก้วมีผลลัพธ์และประสิทธิภาพต่างจากเคลือบแว็กซ์โดยสิ้นเชิง


การเคลือบแว็กซ์เป็นการเคลือบชั้นผิวรถอย่างผิวเผินในระยะเวลาช่วงสั้นๆ ไม่สามารถปกป้องรถคันสวยของคุณจากริ้วรอยต่างๆ ได้จริงแม้การเคลือบแว็กซ์จะราคาถูกกว่า

แต่สำหรับความคุ้มค่าในระยะยาวด้านประโยชน์ต้องยกให้กับการเคลือบแก้ว

เมื่อรู้จักและทราบข้อดีของการเคลือบแก้วแล้ว

มาถึงประเด็นที่ควรพิจารณาการเลือกร้านเคลือบแก้วกันค่ะ


1. ศูนย์บริการเคลือบแก้ว สำคัญสำคัญที่สุด

ศูนย์บริการหรือร้านเคลือบแก้ว ต้องมีความน่าเชื่อถือ

มีความพร้อมทั้งเรื่องสถานที่ ช่างเคลือบที่มีประสบการณ์

และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ต้องมีมาตรฐาน

เพื่อให้คุณภาพของงานเคลือบแก้วออกมาดีที่สุด

โดยทั่วไปแล้วในราคาเท่ากันคุณสมบัติของน้ำยาจะอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกั

น แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือคุณภาพงานและความใส่ใจของช่างเคลือบ

ที่สำคัญคือการให้บริการหลังการขายเพราะเคลือบแก้วมักจะขายเป็น

แพคเกจ 1-5 ปี ควรเลือกร้านให้ดี เพราะต้องดูแลกันไปอีกยาว


2. ราคาเคลือบแก้วที่คุ้มค่า

ปัจจุบันราคาเคลือบแก้วมีความหลากหลายตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่น

เราไม่สามารถสามารถชี้วัดคุณภาพของงานเคลือบแก้วได้จากราคาเพียงอ

ย่างเดียว ราคาที่ถูกที่สุด ไม่ได้แปลว่าจะได้เคลือบแก้วที่ดีที่สุด

หรือราคาที่แพงหูฉี่ก็ไม่ได้แปลว่า จะได้งานเคลือบแก้วที่คุ้มค่า

การเลือกเคลือบแก้วที่คุ้มค่าต้องได้ราคาและคุณภาพทัดเทียมกัน

โดยพิจารณาทั้งคุณสมบัติของน้ำยา

ความน่าเชื่อถือของศูนย์บริการหรือร้านเคลือบ ฝีมือช่าง

ตลอดจนบริการหลังการขาย ที่สำคัญต้องเป็นราคาที่คุณจ่ายได้

จ่ายแล้วรู้สึกพอใจกับผลงานที่ได้รับ ไม่ใช่เคลือบแก้วในราคาแสนถูก

แต่เคลือบแล้วอยู่ได้ไม่นาน

หรือถ้าจะเคลือบแก้วแพงๆแต่ได้ของไม่มีที่มาที่ไป ได้บริการไม่ดีได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

15,940 views0 comments
bottom of page