“การเคลือบแก้ว” ใครที่ชอบดูแลรถก็ต้องรู้จักบ้างใช่ไหมคะ เพราะเป็นอีก 1 ตัวเลือกที่เป็นที่นิยมสำหรับคนที่อยากดูแลรถ ซึ่งข้อดีของการเคลือบแก้ว คือ ช่วยในเรื่องของการทำให้รถเงา สวย ฉ่ำ รักษาสีรถให้ดูใหม่และสีสดตลอด ที่สำคัญสามารถที่จะป้องกันรอยขนแมว หรือรอยบางๆได้ ป้องกันสิ่งสกปรก ฝุ่น น้ำ มาจับตัวเกาะบนผิวรถ และป้องกัน UV จากแสงแดด มูลนก ยางมะตอย ช่วยให้ล้างรถได้ง่ายขึ้นอีกด้วยค่ะ
ซึ่งพอรู้ข้อดีของการเคลือบแก้วแล้ว หลายๆคนคงสงสัยว่า เพื่อให้เกิดข้อดีต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น และอยากได้ผลลัพธ์ในการเคลือบแก้วให้ดีที่สุด จะต้องมีขั้นตอนกระบวนการเคลือบแก้วยังไงบ้าง?
ซึ่ง ทิพย์ ออโต้ จะมาแชร์ข้อมูลต่างๆให้ค่ะ
สำหรับใครที่อยากเคลือบแก้ว หรือ จะไปเคลือบที่ร้านคาร์แคร์ก็จะได้รู้กระบวนการที่จำเป็น และสำคัญที่ทางร้านคาร์แคร์ต้องทำให้ทุกคนได้นั่นเองค่ะ
วิธีการเคลือบแก้วรถยนต์ จะมีทั้งหมด 4 ขั้นตอน
1. ขั้นตอนแรก คือ ต้องล้างรถให้สะอาดก่อนค่ะ ไม่ว่าจะรถเก่า รถใหม่ป้ายแดง หรือรถที่ใช้งานมาไม่ นาน จะต้องมีการล้างรถก่อนทุกครั้ง เพื่อทำความสะอาดผิวรถไม่ให้มีสิ่งสกปรกหรือฝุ่นให้มากที่สุด หลังจากนั้นก็ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ที่สะอาดเช็ดให้แห้ง หรือ ก่อนจะเช็ดให้แห้งสามารถใช้ดินน้ำมันสำหรับทำความสะอาดรถเช็ดก่อนก็ได้เช่นกันค่ะ ซึ่งตัวดินน้ำมันจะช่วยดูดจับฝุ่นต่างๆได้ละเอียดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง
2. ขั้นตอนต่อมาคือ การติดเทปกาวค่ะ สงสัยใช่ไหมคะว่าจะติดไปทำไม สำคัญด้วยหรอ? คำตอบคือ สำคัญมากค่ะ ซึ่งการติดเทปกาวจะติดเฉพาะจุดเท่านั้น เช่น ตามร่องต่างๆที่มีความเสี่ยงที่ตัวน้ำยาขัดรถหรือน้ำยาเคลือบแก้วจะมีโอกาสเข้าไปอุดตันตามร่องรถ หรือ ติดตามจุดที่มีความเสี่ยงที่ตัวเครื่องขัดจะไปโดนและเกิดรอยได้ โดยติดเฉพาะจุดเช่น ตามขอบยางรถ ขอบพลาสติก นั่นเองค่ะ
3. ขั้นตอนนี้สำคัญมากที่สุดเลยค่ะ นั่นคือการเตรียมผิวรถ โดยการขัดสีรถนั่นเองค่ะ ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้องประณีต และตั้งใจในการทำมากที่สุด เพื่อให้ในขั้นตอนเคลือบแก้วจริงจะง่ายมากขึ้นและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ ซึ่งขั้นตอนในการขัดจะละเอียดมากๆ และจะมีความแตกต่างซับซ้อนกันออกไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของรถนั่นเองค่ะ และที่สำคัญตัวน้ำยาขัดสีรถจะมีหลากหลายประเภท มีทั้งน้ำยาที่ไว้ขัดผิวรถที่มีรอยบางๆรอยขนแมวเยอะ หรือรถสภาพเก่าไปจนถึงน้ำยาที่ไว้ใช้สำหรับรถใหม่ๆ หรือรถป้ายแดง ที่มีแทบไม่มีรอยเลย ก็จะใช้นำยาอีกแบบที่เหมาะกับสภาพผิวรถนั้นๆ นั่งเองค่ะ
4. ขั้นตอนสุดท้ายคือ การเคลือบแก้วแล้วค่ะซึ่งการลงน้ำยาเคลือบแก้วโดยวิธีการทาจะต้องมีฟองน้ำที่มีผ้ารอง หรือกระดาษนาโนด้วยนะคะ ในการทาน้ำยาเคลือบแก้วจะช่วยให้ตัวน้ำยาเคลือบบนผิวรถได้แบบ 100% โดยไม่มีการผสมสารอื่นๆ ซึ่งจะได้รับความหนาแน่นของตัวน้ำยาได้ดีที่สุด และการทาน้ำยาเคลือบแก้วจะต้องใช้เวลา ความประณีตในการเคลือบอย่างมาก เพื่อเคลือบผิวรถให้สม่ำเสมอเท่ากันนั่นเอง
ยังไม่จบนะคะ ทิพย์ ออโต้ มีทริคความรู้เล็กๆน้อยๆมาแชร์เพิ่มเติมสำหรับการเคลือบแก้วกันค่ะ
- อย่างแรกเลย การเคลือบแก้วจะต้องใช้สถานที่ที่ไม่ใช่กลางแจ้ง หรือโดนแดดจัดๆ เพราะผิวรถจะร้อนเกินไป ควรเคลือบในห้อง หรือสถานที่ร่มๆก็ได้ค่ะ
- ต่อมาในเรื่องของการเคลือบแก้วแบบทา เป็นเพียงวิธีการ 1 แบบเท่านั้นนะคะ จริงๆจะมีวิธีการเคลือบแก้วแบบพ่นด้วย แต่ก็จะมีการผสมสารอื่นๆที่ทำให้พ่นง่ายขึ้น และก็ต้องมีเครื่องมือในการพ่นค่ะ ซึ่งก็จะมีข้อดีที่แตกต่างกันออกไปค่ะ
- ในส่วนของสถานที่เคลือบแก้วก็สำคัญมากๆค่ะ ถ้าเป็นร้านเคลือบแก้วควรมีห้องเคลือบแก้วโดยเฉพาะ มีแสงไฟมากพอที่จะทำให้เห็นดีเทลต่างๆได้ชัดเจน เช่น รอยต่างๆ ฝุ่น เพื่อจะได้มีการเตรียมผิวรถให้ดีที่สุดนั่นเองค่ะ
- สิ่งสุดท้ายคือ ประสบการณ์ในการเคลือบแก้วค่ะ การเคลือบแก้วต้องอาศัยประสบการณ์ในการทำมากๆ เพราะทุกขั้นตอนล้วนมีความสำคัญพอๆกันหมด
ถ้าต้องการเคลือบแก้วแต่อยากได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แนะนำให้หาร้านเคลือบแก้วรถยนต์ที่มีมาตรฐานค่ะ เพราะในการเคลือบเองนั้นมีขั้นตอนค่อนข้างเยอะและต้องอาศัยประสบการณ์ในการทำอย่างมาก ซึ่งในการเลือกร้านเคลือบแก้วที่ดีนั้น จะต้องมีช่างเฉพาะทางที่เคลือบแก้วโดยเฉพาะและต้องมีประสบการณ์มากพอสมควร ในส่วนของตัวน้ำยาเคลือบแก้วก็จะต้องได้มาตรฐานนำเข้าจากต่างประเทศ ที่สำคัญต้องมีห้องเคลือบแก้วเฉพาะอีกด้วย
หากใครอยากเคลือบแก้วรถยนต์ให้ ทิพย์ ออโต้ เป็นตัวเลือกในใจสำหรับร้านเคลือบแก้วนะคะ เรามีห้องเคลือบแก้วและช่างเฉพาะทาง มีน้ำยาเคลือบมาตรฐานจากเยอรมันและอเมริกา แถมมีเคลือบแก้วราคาหลากหลายตามงบประมาณของคุณเลยค่ะ ทิพย์ ออโต้หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับทุกๆคนนะคะ